อันนี้เป็นแนวคิดของเราโดยส่วนตัวนะ
ทำไมเราถึงเปรียบชีวิตคู่เหมือนการทำธุรกิจร่วมกัน???
เพราะมันเหมือนกันตรงที่ว่าเราอยากประคองให้มันอยู่รอดตลอดรอดฝั่ง ไม่เจ๊งไปซะก่อน ไม่ว่าจะชีวิตคู่หรือการทำธุรกิจ ไม่มีใครอยากจะเลิกง่ายๆ อยากจะให้มันอยู่ไปถึงลูกถึงหลานด้วยซ้ำในมุมการทำธุรกิจ คน 2 คนสัญญากันว่าจะช่วยกันประคับประคอง อดทน ดูแล เป็นที่ปรึกษาให้กัน ไม่ว่ายามเจ็บ ยามป่วยก็จะไม่ทิ้งกัน จะอยู่เคียงข้างฝ่าฟันสู้กับปัญหาไปพร้อมกัน จะไม่ปล่อยมือกันเด็ดขาด...
แต่.....การจะทำธุรกิจมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดไว้ที่จะทำให้มันประสบความสำเร็จในเร็ววัน บางธุรกิจผ่านไป 10 ปีก็ยังลุมๆ ดอนๆ มองหาคำว่า "สำเร็จ" ยังไม่เจอ การใช้ชีวิตคู่ก็เช่นกัน มันไม่ราบรื่น ไม่สะดวกสบายอย่างที่คิด มีปัญหาเข้ามาไม่ขาดสาย รุมเร้ากันเข้ามาทำให้ปวดหัว ทำให้เครียด ทำให้ท้อ ทำให้หมดกำลังใจ และที่สำคัญ "ทำให้เราลืมไปว่าเราเริ่มมันมาด้วยความรู้สึกแบบไหน" สุดท้ายเราทั้งคู่ หรือคนใดคนนึงคิดที่ถอย....
คนที่อยากจะถอยก่อนจะเริ่มหาเหตุผลให้ให้อีกคนถอยตาม
คนที่อยากจะถอยจะมองเห็นแต่ปัญหาที่ไม่มีทางออก
คนที่อยากจะถอยจะมองเห็นแต่ความเป็นไปไม่ได้
คนที่อยากจะถอยจะคอยแต่หงุดหงิด อารมย์เสีย บ่นนู้นนี่นั่น ทุกอย่างมันไม่ได้ดั่งใจ แม้แต่เรื่องเล็กๆ ก็ยังมองว่ามันน่ารำคาญ
ส่วนคนที่ยังอยากจะพยายามต่อ..
เขาก็จะพยายามมองหาทางแก้ปัญหา มองว่ายังมีโอกาส มองว่ามันยังมีความหวัง มองว่ามันยังเป็นไปได้ถ้าเราพยายามอีกนิด เพื่อให้ตัวเองยังมีแรงก้าวต่อไปได้
พอคน 2 คนที่เคยบอกว่าจะจับมือเดินไปด้วยกัน มาวันนี้กลับอยากจะเดินแยกกัน เพราะมองปัญหาเดียวกันคนละมุม แล้วไม่คุยกันด้วยเหตุผล พวกคุณคิดว่าธุรกิจที่บริหารงานด้วยอารมย์จะไปรอดไหม???? มันไม่มีทางเป็นไปได้ ใช้เหตุผลเท่านั้นที่ทำให้ประคองกันไปได้ ช่วงแรกๆ มันอาจจะขัดๆ จังหวะการเดินไม่ตรงกัน สะดุดบ้าง ล้มบ้าง แต่ตราบใดที่คุณยังมีจุดหมายร่วมกันคือการประคองชีวิตคู่ให้อยู่รอด คุณจะปรับจูนเข้าหากันเอง
ชีวิตคู่มันไม่ใช่กฎข้อบังคับ แต่มันเป็นความเต็มใจที่เราจะทำหน้าที่นั้นด้วยตัวของทั้ง 2 ฝ่าย เพราะก่อนมาใช้ชีวิตคู่ทั้ง 2 คนคงบอกข้อเสียที่อีกฝ่ายอาจจะรับไม่ได้ให้ฟังแล้ว ซึ่งคุณทั้งคู่ก็คงจะบอกว่า "รับได้" ในเวลานั้น เราเห็นหลายคู่ที่อยู่ด้วยกันไม่รอดเพราะเอาแต่เรียกร้องให้อีกฝ่ายทำบางอย่างให้ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ความสมัครใจของเขา พอผ่านไปซักพักสิ่งที่คุณเรียกร้องกันจะส่งปัญหาให้ต้องทะเลาะกัน แล้วก็แยกทางกันในที่สุด..
อยากให้ธุรกิจไปรอด พวกคุณต้องสนใจแม้แต่ปัญหาเล็กๆ เพื่อจะไม่ให้มันเป็นปัญหาสะสม เคลียร์กันไปทีละปัญหา อย่าเอาปัญหาทุกอย่างมามัดรวมกัน แล้วตัดสินใจครั้งเดียว เพราะปัญหาย่อยๆ มันจะยังอยู่ แต่แค่คุณมองข้ามมันไปเพราะมีปัญหาใหญ่บังเท่านั้น จงใช้สติในการหาเหตุผลในการแก้ปัญหา อย่าใช้อารมย์ตัดสิน และสิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการยอมรับความจริง เพราะบางทีปัญหา มันก็อยู่แค่คน 2 คนที่เป็นคนตั้งคำถาม แล้วคิดคำตอบไว้ล่วงหน้าโดยใช้สมองตัวเองตัดสินทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเราควรจะยอมรับคำตอบของคนที่เราถามเขามากกว่า
##ฝนตกแรงมากแค่นี้พอล่ะ
ป.ล. เรื่องที่เขียนเป็นแค่มุมมองส่วนตัว ไม่ได้ตัดสินว่าคนอื่นคิดผิดหรือคิดถูก แค่ประสบการณ์มุมมองที่อยากเล่าให้ฟัง แล้วมันทำให้เข้าใจกันมากขึ้น